Day 1: We Fly At Midnight
#184DaysOfWitchcraft Day 1
***ถึงผู้อ่านที่รักทุกท่าน อ่านแล้วชอบตรงไหน-เก็บไว้ใช้ ไม่ชอบตรงไหน-ตัดทิ้งหรือเอาไปดัดแปลง แต่ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบเลย-กดปิด ขอบคุณที่หลงเข้ามาเจอกันนะครับ ขอให้โชคดีบนทางที่ทุกท่านเลือก***
***หมอสองเขียนแบบไม่มีการวางโครงเรื่อง ไม่มีการแก้อะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้มือทั้งสองพิมพ์ไปโดยเสรี ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วย***
วันนี้วัน May Eve คืนนี้คือ Walpurgis Night เป็นคืนที่สำคัญมากสำหรับผม เพราะช่วงแรก ๆ ที่ก้าวเข้ามาในวิถีแม่มดสายเก่า (Traditional Craft) ผมสัญญากับ Old Ones “ผู้เฒ่า” และบรรพชนแม่มดทั้งหลายว่าผมจะบูชาพวกท่านในคืน May Eve และ All Hallows’ Eve เป็นประจำทุกปี ตรงนี้มีเหตุผลสองประการ คือ 1. เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ และ 2. เป็นการรักษาหล่อเลี้ยงอำนาจแม่มดไว้ไม่ให้เสื่อมถอย ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก
แม่มดที่เพิ่งก้าวเข้ามาในศาสตร์ (และบางครั้งแม้แต่แม่มดผู้มากประสบการณ์ด้วย) มักจะให้ความสำคัญกับการใช้อำนาจมากกว่าจะมองเรื่องการให้ได้มาซึ่งอำนาจ หรือพูดง่าย ๆ ว่า เรามักสนใจการใช้เงินมากกว่าการหาเงิน ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่ถ้าเราเอาแต่จะเอาอำนาจออกมาใช้โดยไม่เติมเข้าไปเลย สุดท้ายเวทมนตร์ของเราก็จะเสื่อมไป
ในคติแม่มดสายเก่า มนุษย์ไม่มีอำนาจอะไรเลย ถ้าจะมีก็มีน้อยมาก เวทมนตร์ทั้งมวลจึงขับเคลื่อนผ่านการช่วยเหลือของสปิริต แต่สิ่งที่สปิริตไม่มี และมนุษย์มี คือความสามารถในการดัดแปลง ควบคุม และสรรค์สร้างวัตถุทางกายภาพ ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน โลกทั้งสองฝั่งจึงเป็นคำตอบของกันและกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เหมือนสองด้านของเหรียญ หรือเหมือนยอดไม้เบื้องบนที่เชื่อมกับรากไม้เบื้องล่าง
ดังนั้น สำหรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนนึงที่ปรารถนาอยากมีอำนาจ มีทางเดียวคือเราต้องขอกับสปิริตเท่านั้น ซึ่งเทคนิคที่ผมค้นพบว่าทำเรื่องนี้ได้ดีมากคือ Spirit Flight หรือการบินของแม่มดนี่แหละ (แต่ก็ยังมีวิธีอื่น ๆ อีกมากมายให้เราเลือกใช้ ถ้าเราไม่ถนัดบินน่ะนะ)
เนื่องในคืน Walpurgis Night หมอสองเลยอยากจะชวนทุกคนมาหัดบินกัน จะบินขึ้นหรือไม่ขึ้น จะไปถึงซับบาทมืดหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่ทุกคนลองทำดู
การบินที่ง่ายที่สุด คือการนั่งฝันกลางวัน
รอจนถึงกลางดึก ปิดไฟในห้องให้หมด ปิดม่านไม่ให้แสงใด ๆ ลอดเข้ามา นั่ง (หรือนอน) ในท่าทีสบาย หายใจเข้าออกลึก ๆ นึกภาพว่าเรากำลังยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ ประตูนั้นจะมีหน้าตาแบบไหนก็ขอให้อย่าไปกำหนดกะเกณฑ์อะไรมัน แต่ปล่อยให้ประตูนั้นค่อย ๆ เปิดเผยตัวเองออกมา ขอให้มันค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้น มีรายละเอียดชัดเจนขึ้นทุกทีขณะที่เราพิจารณามัน
เมื่อประตูชัดขึ้นจนไม่สามารถจะชัดไปมากกว่านี้ได้แล้วในนิมิตของเรา ขอให้กล่าวออกมาดัง ๆ ว่า
ข้าพเจ้ามายังที่แห่งนี้ด้วยความรัก
ประตูหนาหนักที่พิทักษ์แดนพรายเอ๋ย
จงรับความรักนี้เป็นกุญแจ
และเปิดกว้างให้แก่ข้าพเจ้าเถิด
ในนามของนางผู้เป็นมารดาของเราทั้งผอง
และในนามของเขาผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณทั้งปวง
นึกภาพประตูเปิดออกกว้าง เหมือนเดิม ปล่อยให้รายละเอียดของทุก ๆ สิ่งเบื้องหลังบานประตูนั้นค่อย ๆ เปิดเผยตัวออกมา แรก ๆ เราอาจจะเห็นเพียงหมอกควันที่บังให้ทุกสิ่งพร่าเลือน ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะทักษะนี้ต้องอาศัยการฝึกกันตลอดชีวิต
ผ่านไปสักพักเราจะเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่มากต้นหนึ่ง ใต้ต้นไม้นั้นมีใครบางคนรอคุณอยู่ เรายืนรออยู่สักพักให้รายละเอียดค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ใครคนนั้นเป็นใคร? เป็นหญิง? เป็นชาย? หรือไม่ใช่ทั้งหญิงและชาย? หรือไม่ใช่มนุษย์?
ใครคนนั้นทำท่าเหมือนจะเรียกให้เราเข้าไปใกล้ ๆ เราเดินเข้าไปและกล่าวทักทายเล็กน้อย มาถึงตรงนี้เราจะเห็นว่าข้าง ๆ กายของใครคนนั้นมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภายในหม้อนั้นบรรจุของเหลวสีเขียวสดที่มีกลิ่นหอมประหลาด ใครคนนั้นทำท่าทำทางเหมือนจะให้เราทาร่างกายด้วยของเหลวนั้น
เราบางคนอาจจะเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาและเผลอถอยหลังไปสองสามก้าว ใครคนนั้นแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจและกวักมือเรียกเราอีกครั้ง คราวนี้ใครคนนั้นจุ่มมือลงในหม้อและทาบนร่างกายของตนเองให้ดู เหมือนจะเป็นการบอกว่ามันไม่มีอันตรายอะไร
เรายอมจำนน และแตะเอาน้ำมันปริมาณเล็กน้อยในหม้อขึ้นมาถูไปที่มือทั้งสองข้าง ความรู้สึกชาแล่นไปทั่วร่างกายของเรา เหมือนตัวเราจะเบาขึ้น กล้ามเนื้อทั้งหมดที่แข็งเกร็งกลับคลายตัวออก กลิ่นหอมแปลกของมันเหมือนจะทำให้เราเคลิ้มและตกอยู่ในภวังค์
ใครคนนั้นยืนมองดูคุณเงียบ ๆ และยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะหยิบไม้กวาดเก่า ๆ 1 อันยื่นให้คุณ
เรารับไม้กวาดมาอย่างงง ๆ และไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรต่อ แต่ทันใดนั้นตัวเราก็ลอยขึ้นจากพื้น และบินไปพร้อมกับสายลมราตรี เรามองกลับลงมาที่พื้นดิน ใครคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับหัวเราะร่า และโบกมือลา
มาถึงตรงนี้สังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราให้ดี เปิดทุกสัมผัสให้เต็มที่ รู้สึกถึงสายลมเย็นที่กรีดไปบนผิวหนัง รู้สึกถึงสภาวะไร้น้ำหนักของร่างกาย รู้สึกถึงความลิงโลดที่เกิดขึ้นในใจ รู้สึกถึงอิสรภาพ
เราไม่ต้องกำหนดว่าจะบินไปที่ไหน ไม้กวาดในมือจะพาเราไปเอง
ที่ขอบฟ้า เราเริ่มจะเห็นอะไรบางอย่างบินมาไกล ๆ และเมื่อเราเขม้นมอง เราก็จะเห็นว่ามันเป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ มีทั้งหญิงและชาย และ “อย่างอื่น” มีทั้งคน และสัตว์ และ “อย่างอื่น” บางคนขี่ไม้กวาดมา บางคนขี่แพะมา หรือบางคนก็บินมาทั้งตัวเปล่า ๆ อย่างนั้น บางคนใส่เสื้อผ้า บางคนใส่แค่ท่อนบน บางคนใส่แค่ท่อนล่าง หรือบางคนก็แก้ผ้า
พวกเขาร้องทักทายเราขณะที่พวกเขาบินผ่านไป เราได้แต่โบกมือตอบเงียบ ๆ ยังคงอัศจรรย์กับภาพตรงหน้า
ไม้กวาดในมือของเรากระตุก มันเริ่มเปลี่ยนทิศทางและบ่ายหน้าไปยังดวงจันทร์เบื้องบน สูงขึ้น สูงขึ้น อย่าพยายามบังคับมัน ปล่อยให้มันพาเราไปในที่ที่เราควรจะไป
ปล่อยให้นิมิตของเราเปิดเผยตัวออกมา ไม้กวาดของเราพาเราไปที่ไหน? สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร? มันอาจเป็นยอดเขา? หรือใต้ทะเลลึก? หรือบนพื้นผิวดวงจันทร์? หรือในวิหารเก่าแก่? ที่นั่นมีใครรอเราอยู่บ้าง? พวกเขากำลังทำอะไรกัน?
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้อนรับเรา และเชื้อเชิญให้เราร่วมวงกับพวกเขา แต่เราจะตอบรับคำเชิญนั้นเลยหรือไม่ก็เป็นสิทธิของเรา ถ้าเลือกที่จะปฏิเสธ เราก็เฝ้าสังเกตการณ์จากนอกวงก็พอ
หลังจากนั้นปล่อยให้จินตนาการของคุณโลดแล่นให้เต็มที่ ถ้าเผลอหลับไปก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมจดความฝันไว้ให้ละเอียดเมื่อตื่นขึ้นมาในวันถัดไป ถ้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ขอให้กล่าวกับไม้กวาดให้ช่วยพาเรากลับไปด้วย ซึ่งมันจะพาเรากลับไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมทันที ใครคนเดิมยังคงรออยู่และรับไม้กวาดคืนไปจากเราพร้อมกับคำอวยพร
เราค่อย ๆ เดินกลับไปทางเดิม ออกประตูใหญ่ไปโดยไม่หันกลับมามอง ได้ยินแต่เสียงประตูหนาหนักนั้นค่อย ๆ ปิดตัวเองลง
ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ
ยินดีด้วย! คุณเพิ่งกลับมาจากการบิน!