The Elephant in the Room
ทำไมพวกเราทุกคนถึงต้อง Take Action
#184daysofwitchcraft Post №14
ในซีรี่ย์ Game of Thrones ตัวละคร Arya Stark จะท่องชื่อทุกคนที่เธอต้องฆ่าก่อนนอน มันเป็นทั้งคำภาวนา เป็นทั้งคำสัญญา และเป็นทั้งเชื้อไฟที่ทำให้เธอก้าวต่อไปข้างหน้าได้ คนเหล่านี้คือคนที่ทำร้ายเธอ หรือทำร้ายครอบครัวของเธอ เรารู้จักรายชื่อนี้ในนาม The Kill List of Arya Stark และต่อมาในซีรี่ย์ เธอก็เก็บได้เกือบครบจริง ๆ
ซึ่ง ผมจะบอกว่าผมก็มี Kill List ของผม ในรายชื่อนี้มี 3 คน และ 1 คนเป็นคนในวงการแม่มด ซึ่งเพิ่งเพิ่มเข้ามาในปีสองปีนี้เอง
หลังจากผมต้องลาออกจากคณะแพทย์ตอนเป็น Extern (ปี 6) ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนทำร้ายผมได้หนัก ๆ ขนาดนี้อีกถึงขั้นต้องจดไว้ใน Kill List แต่ อนิจจา โลกใบนี้มีคนชั่วคนเลวอยู่เยอะจริง ๆ
จะกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนชั่วคนเลวก็อาจไม่ถูกนัก เพราะในความเป็นจริง พวกเขาแค่โง่ และอ่อนแอ (หรือไม่ก็เป็นโรคทางจิตเวชบางอย่าง แล้วไม่ได้รักษา ทำให้คุมตัวเองไม่ได้) ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็น่าสงสารทั้งนั้น
น่าสงสารยังไง? พวกเขาจะเห็นเองว่าถ้าทำแบบนี้ต่อไปจะไม่มีใครคบ ไม่มีใครรัก โลกจะก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีพวกเขา พวกเขาจะถูกลืม และไม่มีใครให้ค่าอีกต่อไป และที่พีคที่สุดคือ ทำตัวเองทั้งนั้น
ผมจะให้แสงพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหลังจากนี้ทุกคนต้องไปลงหลุมแล้วอยู่เงียบ ๆ ฮะ
คนนี้เป็น Arch-Enemy ของผมเลยก็ว่าได้ เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่ผมเริ่มพูดเรื่องพืชมีพิษ (Poison Path) ในวงการ ก็มีการแซะ การฟาดเล็ก ๆ เกิดขึ้น แต่มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดพีคตอนที่ผมเก็บเงินจากการสวดนพวารถึงนักบุญยูดา
ตอนนั้นรู้สึกเศร้ามาก เพราะเราก็นับถือคน ๆ นี้เป็นผู้อาวุโสมาตลอด และก็ไม่เข้าใจและสับสนมากว่าเราทำอะไรผิด
แต่ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว จากการเก็บข้อมูลมาสักพัก พบว่า เจ้าตัวซื้อหนังสือมาเยอะจริง แต่คงไม่ได้อ่าน (หรืออ่านก็ไม่เก็ท) เพราะจากการปกป้องคาทอลิกโดยไม่ลืมหูลืมตา และไล่ฟาดแม่มดคนอื่น ๆ ที่ทำงานกับนักบุญคาทอลิกว่าเอานักบุญมาหากินนั้น เป็นการแสดงถึงความมืดบอดของเจ้าตัวเองที่ไม่รู้จัก Folk Magic/Folk Catholicism
วิชาแม่มดเติบโตคู่คริสตศาสนามาตลอดตั้งแต่มีคริสตจักรเกิดขึ้นบนโลก ทั้งสองฝ่ายอิงอาศัยซึ่งกันและกัน (ถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นศัตรูกันก็ตาม) และไม่ใช่แค่ Traditional Witchcraft ที่อาศัยรากเดียวกับคาทอลิก แต่ยังมีศาสตร์ลี้ลับอีกหลายแขนงที่เติบโตมาด้วยกัน เช่น บรรดา Traditional African Religions ทั้งหลาย Latin Santeria Voudou-Hoodoo และอีกมากมาย
คน ๆ นี้อาจจะรู้สึกว่านักบุญสงวนไว้เฉพาะชาวคาทอลิกเท่านั้น ซึ่งเป็นมุมมองโลกที่ตื้นเขินมาก เพราะนักบุญไม่ใช่สมบัติของศาสนจักร อ่านช้า ๆ อีกที … นักบุญไม่ใช่สมบัติของศาสนจักร ชาวคาทอลิกอาจจะเรียกพระนางมารีย์ว่าแม่พระ มารดาของพระคริสต์ แต่สำหรับพวกเราที่ฝึกฝนศาสตร์ในทางลับเราเห็นอะไรมากกว่านั้นมาก นี่ยังไม่นับผู้วิเศษอื่น ๆ ที่บูชา Yemanja ผ่านแม่พระ หรือทำงานกับ Papa Legba-Elugua ผ่านนักบุญแอนโทนี่ ผมว่าทุกคนพอได้ไอเดีย
ในบางกรณี นักบุญที่ชาวบ้านทั่วไปนับถือ เช่น Santa Muerte “นักบุญมรณา” ของเม็กซิโก คริสตจักรยังไม่ยอมรับเลยว่าท่านเป็นนักบุญ (แปลว่าอย่างนี้ถ้าผมเก็บเงินจากการสวดนพวารถึงนักบุญมรณา คุณจะไม่ฟาดผมใช่มั้ย? = โคตร Bullshit อะ555555) หรืออย่างนักบุญซีเปรียน องค์อุปถัมภ์ของแม่มดและผู้ใช้เวทมนตร์ คน ๆ นี้ก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่าท่านได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางในวงการแม่มดตะวันตก การไปชี้หน้าในวงการแม่มดฝรั่งว่าเอานักบุญมาหากิน ก็คงจะได้รับทัวร์ลงกลับมาจากคลื่นมหาชนไม่ใช่น้อย เพราะทุกคนที่นั่นนับถือนักบุญ ทำงานกับนักบุญ และเก็บเงินจากการทำงานของนักบุญ
ทั้งหมดนี้มันสะท้อนว่าอะไร? มันสะท้อนว่า คน ๆ นี้โลกแคบ มองโลกไปได้ไม่พ้นตัวเอง (หรือเขาเป็นสลิ่ม?) และที่สำคัญคือ สำหรับผมแล้ว เขาไม่ใช่แม่มด ถึงเขาจะอยากเรียกตัวเองว่าอะไรก็ตาม
เพราะ Witchcraft, at its heart, is heretical. “หัวใจของวิชาแม่มดคือการหมิ่นศาสนา (โดยเฉพาะศาสนาคริสต์)” การปฏิเสธหัวใจของวิชาแม่มดได้ออกหน้าออกตาขนาดนี้ (และเจ้าตัวคงภูมิใจมาก) แสดงให้เห็นความมืดบอดทางปัญญาอย่างแท้จริง
ซื้อหนังสือมาเยอะ ได้โปรดอ่านบ้างเถอะ มันลำบากคนอื่นน่ะ
แล้วอีกอย่างคือ เป็นคนขอโทษเก่งมาก ขอโทษ แล้วก็แซะใหม่ ขอโทษ แล้วก็แซะใหม่ เรื่อยไป มันแสดงให้เห็นอะไรบางอย่างเหมือนกันนะ ให้สังคมเป็นคนตัดสินก็แล้วกัน
(อันนี้แถม) คนต่อมา ถึงไม่ได้อยู่ใน Kill List แต่ก็พูดไว้หน่อย ก็เป็นคนที่ผมนับถือมากเหมือนกัน แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ถูกความเป็นคริสตชนคนคลั่งเข้าสิงเหมือนคนแรก
เรื่องมันเกิดตอนที่ผมกำลังค้นคว้าประวัติศาสตร์ของพระยาห์เวห์ ซึ่งนักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าพระองค์เคยเป็นเทพแห่งสงครามและพายุมาก่อน (ก่อนจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพระเจ้าสูงสุดในศาสนาฝ่ายอับราฮัมมิก) ซึ่งสิ่งที่คน ๆ นี้โต้ผมกลับมาก็คือ: “คริสต์ศาสนานำทางหัวใจคนมาเป็นพันปี จะไปเชื่ออะไรกับนักวิชาการสติเฟื่อง” หรืออะไรทำนองนี้ผมจำไม่ได้ละ
แต่ เห็นอย่างที่ผมเห็นมั้ยครับ?
นี่ก็เป็นอีกคนที่มืดบอด แยก Logos กับ Mythos ไม่เป็น ทำให้เอา “ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์” มาปนกับ “ความจริงทางวิญญาณ” การศึกษารากของพระเจ้าไม่ได้เป็นการหมิ่นเกียรติพระองค์อะไรเลย มีแต่จะทำให้ฐานะของพระองค์สูงส่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในโลก ถ้ามองตรงนี้ไม่ออกผมก็ไม่มีอะไรจะพูด
และจริง ๆ ถ้าจะตอบมาแบบนี้ ก็อาจจะต้องเชื่อว่าโลกแบนต่อไปนะครับ เพราะคนเราเชื่อว่าโลกแบนมาเป็นพันปีแล้วนี่เนอะ
คนสุดท้ายเป็นคนที่ทำให้ผมอกหักที่สุด เพราะเป็นไอดอลของผมมาตั้งแต่เด็ก จะขอพูดสั้น ๆ ละกันเหนื่อยแล้ว
คน ๆ นี้กับศัตรูคนแรกของผมเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ก็แตกหักกันไปด้วยสาเหตุอะไรผมก็ไม่ทราบ แต่สุดท้ายก็กลับมาคืนดีกัน โดยให้เหตุผลว่า “ยินดีต้อนรับทุกคน ที่นี่เป็น Sanctuary” ซึ่ง การต้อนรับออกสื่อในลักษณะนี้แปลว่า คน ๆ นี้กำลังรับศัตรูของผมคนนี้เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ใช่หรือไม่? และถ้าศัตรูคนนี้ออกไปทำอะไรไม่ดีอีก ความรับผิดชอบจะตกอยู่ที่เขาคนนี้ใช่หรือไม่?
เหมือนคุณเอาหมาพิตบูลมาเลี้ยงนั่นล่ะ แล้วพอมันออกไปกัดชาวบ้านก็ปล่อยเบลอ บอกไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่หมาชั้น
ผมก็เลยเข้าใจว่า เออว่ะ คนที่เลี้ยงหมาแบบนี้คือไม่มีความรับผิดชอบ
เพราะตอนเกิดเรื่องกับคนแรกขึ้น คน ๆ นี้ก็คือไม่ Take Action ใด ๆ ไม่ห้ามออกสื่อใด ๆ ไม่อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นใด ๆ ปล่อยให้ผมซึมเศร้าจนต้องปิดปลาทอง
คุณเอาเขากลับเข้ามาใน Sanctuary ของคุณแปลว่าความรับผิดชอบตกอยู่กับคุณ คุณเป็นผู้ปกครองของเขาแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณก็ต้องรับผิดชอบ ง่าย ๆ แค่นี้เอง ซึ่ง คุณได้แสดงออกแล้วว่า คุณไม่มีความรับผิดชอบ
หรือ จริง ๆ อาจจะมองได้อีกแง่ ว่าที่แท้แล้วก็เป็นพวก Purists เหมือนกัน เลยอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งยิ่งน่าขยะแขยงเข้าไปอีก
สรุป นี่คือประสบการณ์ตรงที่ผมเจอมาในฐานะแม่มดอาชีพที่จำเป็นต้องทำงานในแวดวงแม่มดในประเทศไทย และพูดตรง ๆ ว่าถ้าเจอแบบนี้ก็คงไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี ในเมื่อมีคนตั้งตัวเป็นอันธพาล เป็นมาเฟีย และที่สำคัญเป็นการสร้างแบบอย่างให้เด็ก ๆ รุ่นหลังเข้าใจไปอีกว่าเป็นแม่มดที่ดีต้องฟาดคนอื่น — Which is fucking pathetic.
ผมเชื่อว่าอำนาจต้องมาพร้อมปัญญาและความรับผิดชอบ คนทั้งสองคนนี้เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่คู่ควรกับอำนาจ เพราะคนแรกมืดบอดทางปัญญา และคนที่สองขาดความรับผิดชอบ ดังนั้นเราจึงไม่ควรให้อำนาจและให้ค่ากับคนทั้งคู่อีกต่อไป นี่คือข้อสรุปของผม
สุดท้าย ถ้าเผอิญผ่านเข้ามาอ่าน ผมอยากฝากให้พวกเขาทบทวนชีวิตตัวเองหน่อย
ผมเดินมาถึงจุดนี้ในชีวิต ผมกล้าพูดได้ว่าผมมีคนที่ผมรักและรักผม ผมมีเพื่อนจำนวนมากที่พร้อมจะซัพพอร์ตเมื่อผมล้ม ผมมีความมั่นคงในชีวิตพอสมควร และผมเชื่อว่าผมก็ทำอะไรให้คนอื่น และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมมาไม่น้อย
คุณน่ะมีรึเปล่า? คุณมีความสุขรึเปล่า? คุณมีคนที่รักคุณรึเปล่า?
ได้โปรดทบทวนตัวเองก่อนจะสายเกินไป