Day 2: The Million-dollar Questions
#184DaysOfWitchcraft Day 2
ว่าด้วยคำถามโลกแตกของวิชาแม่มด ความ Bullshit ของกฎแห่งสาม และความจำเป็นของคำสาป
***ถึงผู้อ่านที่รักทุกท่าน อ่านแล้วชอบตรงไหน โปรดเก็บไว้ใช้ ไม่ชอบตรงไหน โปรดตัดทิ้งหรือเอาไปดัดแปลง แต่ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบเลย โปรดกดปิด ขอบคุณที่หลงเข้ามาเจอกันนะครับ ขอให้โชคดีบนทางที่ทุกท่านเลือก***
***หมอสองเขียนแบบไม่มีการวางโครงเรื่อง ไม่มีการแก้อะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้มือทั้งสองพิมพ์ไปโดยเสรี ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ***
***โปรดท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า Nobody knows shit. ไม่มีใครรู้ (แม่ง) จริง ๆ หรอก แม้แต่หมอสองก็ไม่รู้จริง และบ้งในหลาย ๆ ครั้ง ดังนั้นเชื่อตัวคุณเองเป็นอันดับหนึ่งเสมอนะครับ THERE IS NO GURU. YOU ARE YOUR OWN GURU.***
บางทีก็อยากมีคำตอบให้ทุก ๆ คน ทุก ๆ คำถาม แต่ในความเป็นจริง โลกมันไม่ได้ทำงานแบบนั้น โดยเฉพาะโลกเวทมนตร์ และที่สำคัญ หมอสองก็ตอบได้แต่สิ่งที่อยู่ในเส้นทางของหมอสองเท่านั้น ไม่อาจไปก้าวก่ายในหนทางของคนอื่นได้ ที่ผมทำได้อย่างมากก็แค่แนะนำกว้าง ๆ แล้วทุกคนก็ต้องไปพิจารณาต่อด้วยตัวเอง
ในวิชาคณิตศาสตร์ 1 + 1 = 2 จะเป็นเช่นนี้เสมอไม่มีวันเปลี่ยน แต่ในวิชาเวทมนตร์* 1 + 1 อาจมีคำตอบได้มากมายเหลือคณานับ ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งคำตอบยังย้อนกลับมาดึงให้โจทย์เปลี่ยนตามกันไปอีก ทำให้บางครั้งเวทมนตร์ดูเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ และบางครั้งก็ฟังดูงมงาย จึงมีความพยายามในหมู่ผู้วิเศษในทุก ๆ ยุคที่พยายามจัดระเบียบเวทมนตร์ และสร้างเป็นระบบขึ้นมา
*หมอสองใช้คำว่าเวทมนตร์ (Magic) กับวิชาแม่มด (Witchcraft) สลับกันไปมานะครับ ขอให้รู้ว่าถึงแม้จะไม่ใช่ศาสตร์เดียวกันเสียทีเดียวแต่ก็เป็นวิชาพี่น้องกันที่มีความใกล้ชิดกันมาก*
แต่อย่างที่เราทราบกันดี มายาและน้องสาวของเธอคงไม่ยอมให้ใครมายัดพวกเธอใส่แม่พิมพ์ง่าย ๆ หรอก พวกเธอเป็นเหมือนสายลม และเงามืด จับต้องไม่ได้ บังคับไม่ได้ ได้แต่หวังว่าพวกเธอจะผ่านมารับฟังคำขอของเราเท่านั้น
การก้าวเข้าสู่การฝึกฝนวิชาเวทมนตร์/วิชาแม่มด บางครั้งจึงเหมือนกับการถูกโยนลงทะเลลึก ไม่มีหลักให้ยึด ไม่มีแท่นให้เกาะ เราได้แต่ลอยคอและศิโรราบต่อคลื่นลม และนั่นมันน่ากลัวเหลือเกิน
แต่ข่าวดีก็คือ เวทมนตร์เป็นทะเลที่มีชีวิต เธอจะตอบสนองต่อคำขอของเราถ้าเราเข้าหาเธออย่างถูกต้อง ถ้าเราให้เกียรติและเคารพเธอ เธอจะโอบอุ้มเราไว้
หมอสองก็เป็นคนนึงแหละที่พยายามสร้างระบบอะไรสักอย่างขึ้นมา เพราะอย่างน้อย ๆ เด็ก ๆ ที่ตามมาข้างหลังอาจจะได้มีที่เกาะพักเอาแรงบ้างในทะเลดำมืดนั่น (ถึงบางทีจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็เถอะ) ระบบแรกที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักคือ 4 คำถามมหัศจรรย์ ที่จะช่วยให้เราอยู่รอดได้เสมอในคลื่นลมแรง คำถามเหล่านี้สามารถใช้ประเมินองค์ความรู้ที่เราได้รับมาทุกรูปแบบ ทั้งจากโลกนี้หรือจากโลกอื่น (Visions-นิมิต) นอกจากนั้น ยังใช้ประเมิน UPGs หรือ Unverified Personal Gnosis (ความรู้ความเข้าใจทางวิญญาณที่เราตกผลึกออกมาเอง) ได้ด้วย
(แต่มันยากตรงเราต้องตอบด้วยตัวเองนี่ล่ะ ไม่มีเฉลย ไม่มีสูตรโกง เพราะนี่มันทางของเราเองคนเดียว คนที่รู้ดีที่สุดก็คือเราคนเดียวนะครับ)
- DOES IT WORK? ได้ผลรึเปล่า? คำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราควรตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ ถึงองค์ความรู้ที่เราใช้ในการฝึก เพราะเราจะฝึกเวทมนตร์กันไปทำไมถ้ามันไม่ได้ผลจับต้องได้ จริงมั้ยครับ? คำว่า “ได้ผล” หมายความว่า เวทมนตร์สำแดงฤทธิ์/ส่งอิทธิพลต่อโลกทางกายภาพให้เราเห็นเป็นที่ประจักษ์ เช่น ทำพิธีกรรม Road-opening แล้วโอกาสเข้ามาจริง หรือใช้สเปลเงินด่วนแล้วได้เงินตามที่ตั้งเป้าไว้ + ในเวลาที่กำหนดจริง ๆ แนะนำควรเก็บสถิติอย่างน้อย 3 ครั้งในกรอบเวลา 3 เดือน แต่ถ้าจะให้ดีควรเก็บเป็นปี
- IS IT USEFUL? มีประโยชน์หรือเปล่า? บางครั้ง นิมิตที่เราได้รับมามันก็ดูหวือหวา Colorful แต่จริง ๆ แล้วมันมีประโยชน์รึเปล่า? หรือบางทีเราได้รับคำพยากรณ์จากสปิริตมา แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว บอกใครไปก็ไม่น่าจะได้ประโยชน์อะไร การพิจารณาถึงประโยชน์ขององค์ความรู้จึงเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เราหลงอยู่กับ UPGs ที่ไม่มีสาระสำคัญ
- DOES IT MAKE SENSE (TO YOU)? สมเหตุสมผลกับเราหรือเปล่า? เพราะถ้าการฝึกดังกล่าวได้ผล และมีประโยชน์จริง แต่ไม่ตรงกับมุมมองโลกหรือความเชื่อของเรา เราจะไม่สบายใจนักถ้าจะต้องใช้องค์ความรู้นั้น ยกตัวอย่างเช่นการบูชาสปิริตด้วยเลือด ถ้ามันไม่ตรงกับจริตเรา ไม่เมคเซ้นส์กับเรา ก็ตัดทิ้งไปได้เลยแล้วแทนที่ด้วยอย่างอื่น
- IS IT SAFE? ปลอดภัยรึเปล่า? แต่คำถามนี้เป็น Trick Question เพราะ Magic isn’t safe, never was and never will be. เวทมนตร์ไม่เคยปลอดภัย และสปิริตไม่ได้ใจดีกันทุกตน แต่คำว่า “ไม่ปลอดภัย” ในที่นี้มันก็เหมือนกับการนั่งเครื่องบิน เรียนขับรถ หรือการคุยกับคนแปลกหน้านั่นแหละ เป็นความไม่ปลอดภัยในเลเวลเดียวกัน ดังนั้นผมว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก การออกบินไปยังโลกอื่น มันก็พอ ๆ กับการไปเที่ยวเมืองนอกคนเดียวนั่นล่ะ
ส่วนคำถามต่อไปนี้ ที่ผมจะเรียกว่า 4 คำถามยอดแย่ เป็นคำถามที่ไม่ควรถามกับใครเลย ทั้งตัวเองและผู้อื่น
- IS IT REAL? จริงรึเปล่า? ทำไมถึงไม่ควรถาม? เพราะความจริงมีหลายระดับมาก มากพอ ๆ กับจำนวนมิตินับร้อยนับพันที่ซ้อนทับกันเป็นหัวหอมใหญ่ใน Reality ของเรานี้ นอกจากนั้น แม่มดแต่ละคนก็มีความจริงเป็นของตัวเองที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนหรือสอดคล้องกับคนอื่น อนึ่ง “ความจริง” ในที่นี้คือ Truth with Capital T ไม่ใช่ “ข้อเท็จจริง” หรือ Facts ดังนั้นการถามว่าสิ่งที่เรารู้มาจริงมั้ย จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลยนอกจากจะทำให้เพิ่มความลังเลสงสัยขึ้นไปอีก
- IS IT RIGHT? ถูกต้องรึเปล่า? เป็นเพราะว่าเวทมนตร์ไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์ที่ต้องแสดงวิธีทำให้ถูกต้อง ถ้าเราทำแล้วได้ผล และสมเหตุสมผลครบตามคำถามมหัศจรรย์ทั้ง 4 ข้อ มันจะสำคัญอะไรถ้าเราทำผิดหรือทำถูก? เช่นถ้าเราเชิญ Demon มาสำเร็จโดยไม่วางมณฑล/ไม่ใช้วงเวท และไม่มีผลเสียตามมาทีหลัง คำว่า “ทำถูกต้อง” ยังจะมีความหมายอยู่รึเปล่า?
- IS IT WRITTEN ANYWHERE IN THE LITERATURE? มันมีเขียนไว้ในตำราหรือคัมภีร์เล่มไหนมั้ย? ลองนึกดูให้ดี ก่อนจะมาเป็นตำราหรือคัมภีร์เล่มหนา ๆ ที่เป็นพื้นฐานของแม่มดรุ่นหลัง มันก็ต้องมีผู้วิเศษตัวเป็น ๆ ในอดีตนี่แหละเขียนมันขึ้นมา ซึ่งถ้าเราพิจารณาลึกลงไปอีก จะพบว่าองค์ความรู้พวกนี้เป็น UPGs ทั้งสิ้น (คำสวดภาษาประหลาด ๆ หรือสูตรโพชั่นพิศดารพันลึก) แน่นอน มันก็ดีถ้าเราใช้สิ่งที่พิสูจน์ตัวเองมาอย่างยาวนานแล้วว่าได้ผลเพราะมันจะประหยัดเวลาเราได้เยอะมาก แต่นั่นเป็นวิธีเดียว เป็นคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียวหรือไม่ … ก็ไม่ นี่มันยุคใหม่แล้วครับ อย่างที่ครอว์ลี่ย์พูดไว้ “Every Man and Every Woman is a Star.” หมดยุคแล้วที่เราต้องใช้แสงจากคนอื่น ในเมื่อเราทุกคนมีแสงในตัวเอง
ครั้งหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ก็เคยเป็น UPGs ของคนอื่นมาก่อน แล้วอะไรที่ทำให้เราให้ค่า UPGs ของคนอื่นมากกว่า UPGs ของตัวเองล่ะ?
4. DOES IT AGREE WITH “THE LAW”? แล้วมันขัดกับกฎแห่งสามมั้ย? อันนี้อาจจะฟังดูแรงไปนิด แต่ผมจะบอกว่า Bullshit น่ะกฎแห่งสาม555555 สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มอาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้ อธิบายสั้น ๆ มันก็คือกฎแห่งกรรมของแม่มดนั่นล่ะที่ว่าทำอะไรใครไว้จะได้กลับคืนมาสามเท่า กฎนี้จึงเป็นการห้ามการใช้คำสาปไปโดยปริยาย และในความเป็นจริง กฎแห่งสามแบบที่เราเข้าใจกันทุกวันนี้เกิดจากการเข้าใจผิด
ข้อ 4 นี่ต้องคุยกันยาวมาก อาจจะต้องเริ่มตั้งแต่การกำหนดนิยามกฎแห่งกรรมให้เข้าใจตรงกันก่อน ก็คือ Karma = Cause & Effect กฎนี่บ่งบอกแค่ว่าทุก ๆ กิริยามีปฏิกิริยา ทุก ๆ การกระทำมี Consequences ผลกระทบที่ตามมาภายหลัง หรือราคาที่ต้องจ่าย ไม่ได้แปลว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนะครับ ซึ่งนิยามอันหลังนี้นี่แหละที่เรามักเข้าใจกันและเอาไปแปะให้กฎแห่งกรรม ทำให้เกิดความวุ่นวายตามมามากมาย กลายเป็นทุกคนเข้าใจว่ามีตำรวจ + ตุลาการของจักรวาลคอยควบคุมไม่ให้คนทำชั่วอยู่ ซึ่งมันไม่จริง
ผมมีทฤษฎี คือผมคิดว่า ถ้ากฎแห่งกรรม (แบบที่คนรุ่นหลัง ๆ เข้าใจกันน่ะนะ ไม่ใช่กฎแห่งกรรมดั้งเดิม) มีจริง ๆ ล่ะก็ มันจะปฏิเสธการมีอยู่ของเวทมนตร์ไปเลย The Law of Karma (as we know it) negates the existence of Magic.
ลองคิดตามผมนะ อาจจะ Oversimplified ไปนิด แต่ก็น่าจะพอให้เห็นภาพ ถ้าเราเป็นคนดีมีศีลธรรม ขยันทำงาน ช่วยเหลือผู้อื่นตามสมควร กฎแห่งกรรม (ตามความเข้าใจแบบบ้าน ๆ) ก็จะทำงาน และบันดาลให้ชีวิตของเราราบรื่นและมีความสุข หรือถ้าเราเป็นคนดีมีเมตตา ไม่คิดร้ายต่อใคร กฎแห่งกรรม (ตามความเข้าใจแบบบ้าน ๆ) ก็จะปกป้องเรา ไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายเราได้
แต่ในความเป็นจริง มันเป็นอย่างนั้นรึเปล่า? ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นตรงกัน ว่าไม่
ถ้ากฎแห่งกรรมทำหน้าที่ของมัน มนุษย์ก็ไม่ต้องพึ่งการใช้เวทมนตร์แล้วครับ … ในความเป็นจริง คนดี คนบริสุทธิ์ มักถูกคนชั่วรังแก และคนชั่วก็ลอยนวลไปง่าย ๆ อย่างนั้นโดยที่กฎแห่งกรรมไม่ทำอะไร ดังจะเห็นกันเป็นปกติในสังคมปัจจุบัน ในความเป็นจริง โลกไม่ได้ใจดีกับคนดี เพราะโลกใจร้ายกับทุกคนเท่า ๆ กัน
เพราะเราต้องการเอาชนะกฎแห่งกรรม หรือในบางกรณี เราก็ต้องการเป็นกฎแห่งกรรม เราจึงใฝ่หาอำนาจเวทมนตร์ เป็นเพราะกฎแห่งกรรมไม่มีจริง เราจึงต้องการเวทมนตร์เพื่อสร้างกฎของเราเองขึ้นมา เวทมนตร์คืออะไรบางอย่างที่อยู่ “นอกเหนือกฎขึ้นไป” คือ “ข้อยกเว้น” คือ Anomalies
ดังนั้นผมจึงขอเสนอทฤษฎีว่า Magic itself is the direct glitch in the Law of Karma. เวทมนตร์นี่แหละเป็นบั๊กในระบบของกฎแห่งกรรม
พออ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะถามว่า อ้าวแล้วอย่างนี้แปลว่าเราเที่ยวไปสาปใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ? ในเมื่อมันไม่มีผลสะท้อนกลับเกิดขึ้น? ช้าก่อนไอ้เสือ ผมไม่ได้พูดแบบนั้น55555 ใจเย็น ๆ นะ
ผมเชื่อว่าโดยเนื้อแท้แล้ว พวกเราทุกคนคือความรัก (หรือจะเรียกว่าความเมตตา หรือ Loving Kindness ก็ได้) ความรักที่ว่าเป็นองค์รวมของความดีงามทุกประการในจักรวาล ตั้งแต่แสงสว่าง ความงาม ความหวัง ความศรัทธา ความเห็นอกเห็นใจกัน ความเป็นมิตร ฯลฯ ดังนั้นเมื่อเพื่อนของเราทำผิด ทำร้ายผู้อื่น หรือสร้างความวุ่นวาย เราจำเป็นต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเขาจะเที่ยวไปทำแบบนี้กับใครอีกไม่ได้ คำสาปจึงมีที่ใช้ตรงนี้ เพื่อสอนให้เขาเข้าใจ และเพราะเราเมตตาและเป็นห่วงผู้อื่นที่เขาคนนี้อาจจะไปทำร้ายอีกในอนาคต เราจึงต้องหยุดเขาไว้ด้วยคำสาป
นี่คือการลงดาบด้วยความรัก อาจจะพูดอย่างนั้นก็ได้
แต่ที่ต้องระวังมากเลยคือเราอาจพลาดตกหลุม ถ้าเราสาปใครบ่อยเกินไปเราจะฮึกเหิม และกลายเป็นศาลเตี้ย หรือร้ายกว่านั้นก็กลายเป็นคนเสพติดความรุนแรงทางเวทมนตร์ไปได้ ดังนั้นต้องมีเหตุผลรองรับอย่างรัดกุมแน่นหนามาก ๆ จึงจะพิจารณาใช้คำสาป
ดังนั้นผมขอเสนอกฎแม่มดเพียงข้อเดียว นั่นก็คือ เราจะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ Do no harm to the innocents. ซึ่ง คำว่า “คนบริสุทธิ์” ต้องตีความกันอีกมาก แล้วแต่คน แล้วแต่กรณี ดังนั้นแม่มดแต่ละคนก่อนจะใช้คำสาปต้องทำการบ้านให้หนัก
สุดท้าย ที่เราพยายามทำให้รัดกุมรอบคอบก่อนการใช้คำสาปไม่ใช่เพราะกลัวกฎแห่งสาม แต่เพราะเรามีเมตตา และเลือกที่จะใช้ความรักนำทางต่างหาก เราเลือกที่จะลงดาบด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความสะใจ เราเลือกที่จะเป็นคนในแบบที่เราอยากจะเป็น เป็นเพราะเราเลือกเองด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่ถูกบังคับด้วยความกลัว
AMOR SOLUS VERUS EST
Only Love is Real.
สรุปดีกว่า วันนี้เราได้อะไรกันบ้าง? เยอะมาก! ผมว่าที่ผมจะพูดก็คือว่า สิ่งสำคัญในการเดินบนทางสายแม่มด (ซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญเดียวกันในการเดินบนทางสายจิตวิญญาณด้วย) นั่นก็คือการตั้งคำถามกับตัวเองและทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน และจะเดินทางไปที่ไหน ดาวเหนือของเราคืออะไร และจะทำอย่างไรให้เข็มทิศของเราตั้งตรงไม่ไขว้เขว ซึ่งคำถามมหัศจรรย์ทั้ง 4 น่าจะพอช่วยไกด์ได้บ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเลือกที่จะมีเมตตาเสมอ ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะนี่เป็นเหตุผลเพียงประการเดียวที่พวกเราเกิดมาและดำรงอยู่