Our Cloudy Visions
#184DaysOfWitchcraft Day 5
***ถึงผู้อ่านที่รักทุกท่าน อ่านแล้วชอบตรงไหน โปรดเก็บไว้ใช้ ไม่ชอบตรงไหน โปรดตัดทิ้งหรือเอาไปดัดแปลง แต่ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบเลย โปรดกดปิด ขอบคุณที่หลงเข้ามาเจอกันนะครับ ขอให้โชคดีบนทางที่ทุกท่านเลือก***
***หมอสองเขียนแบบไม่มีการวางโครงเรื่อง ไม่มีการแก้อะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้มือทั้งสองพิมพ์ไปโดยเสรี ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ***
***โปรดท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า Nobody knows shit. ไม่มีใครรู้ (แม่ง) จริง ๆ หรอก แม้แต่หมอสองก็ไม่รู้จริง และบ้งในหลาย ๆ ครั้ง ดังนั้นเชื่อตัวคุณเองเป็นอันดับหนึ่งเสมอนะครับ THERE IS NO GURU. YOU ARE YOUR OWN GURU.***
ธรรมชาติของนิมิตและข้อความที่เราได้รับจากโลกอื่นนั้นไม่เคยคมชัด มันมืดมัว เหมือนถูกหมอกเมฆบดบังเสมอ ถึงแม้เราจะเอามันมาปะติดปะต่อกันเพื่อให้มันรู้เรื่องมากขึ้น ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันชัดสมบูรณ์
มันอาจฟังเหมือนเป็นข่าวร้าย แต่จริง ๆ มันเป็นข่าวดี
แม่มดหลายคนพยายามผลักดันตัวเองให้ไปถึงจุดนั้น จุดที่ทุกอย่างชัดแจ้ง สว่างไสวราวกับกลางวัน พวกเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเทพที่พวกเขาบูชานั้นจริง ๆ แล้วหน้าตายังไง สูงเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าไหร่ ชอบกินอะไรเป็นอาหารว่าง
พวกเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเทพองค์นั้นแต่งงานกับใคร มีลูกกับใคร นิวาสสถานอยู่ที่พิกัดเส้นรุ้งเส้นแวงที่เท่าไหร่ของแดนสวรรค์
พวกเขาต้องรู้ให้ได้ว่าวงจรการเวียนว่ายตายเกิดของเราเป็นยังไง ใครเป็นคนควบคุม กลไกการคัดเลือกเป็นยังไง
เริ่มจะเห็นปัญหาอย่างที่ผมเห็นมั้ยครับ? นี่คือความพยายามในการชำแหละมิติแห่งเวทมนตร์ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่าเหตุผล และใช้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สามมิติเข้ามา Abuse เวทมนตร์จนทะลุไปถึงราก
ซึ่ง ในความเห็นของผม เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในโลกของเวทมนตร์ บางครั้งเหตุผลก็ไม่มีอยู่จริง
เราอาจจะลองย้อนกลับไปดู 4 คำถามมหัศจรรย์ของหมอสองก็ได้ โดยเฉพาะข้อ 2 ที่ว่า IS IT USEFUL? รู้แล้วได้ประโยชน์อะไรรึเปล่า?
ไม่ใช่ข้อมูลทุกอย่างที่เราได้รับจากโลกอื่นจะมีประโยชน์
เพราะบางครั้งมันเป็นเพียงคลื่นแทรกที่เกิดจากสมองของเรานี่เอง เหตุที่เป็นอย่างนั้นเป็นเพราะสมองของเราพยายามจะทำความเข้าใจเทวะโดยการเอาความเป็นมนุษย์ไปสวมให้พวกท่าน แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะเข้าใจเทวะได้อย่างถ่องแท้ เพราะจะเข้าใจขนาดนั้นได้ คุณก็ต้องเป็นเทวะเองเสียก่อน
ซึ่ง จะว่าไปการทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เป็นเรื่องสามัญธรรมดามาก ๆ ของคนที่ทำงานกับนิมิต แต่มันจะเกิดเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงขึ้นมาเมื่อคน ๆ นั้นยึดถือนิมิตเป็นคำตอบเดียวของชีวิต เป็นเพราะนิมิตจัดเป็น UPG = UNVERIFIED Personal Gnosis ชื่อก็บอกแล้วว่า UNVERIFIED คือยังไม่ได้ยืนยัน ดังนั้นแม้จะเป็น UPGs ของเราเอง ก็ยังต้องใช้วิจารณญาณให้มาก ๆ อยู่ดี
ผมรู้ว่าผมอยากให้ UPG ใครก็ UPG มัน ไม่มีการก้าวก่ายกัน แต่ในทางปฏิบัติมันมีรายละเอียดมากกว่านั้น
เพราะ Mysteries “ความลี้ลับ” จะเสื่อมมนต์ขลังไปทันทีที่เราพยายามทำให้ทุกอย่างมันชัดแจ้งจางปาง เหมือนการพยายามเอาดวงดาวมาเชยชมในเวลากลางวัน ในที่สุดดาวดวงนั้นก็อับแสงไปทันทีเมื่อมาแข่งกับพระอาทิตย์
เพราะที่อยู่ของดวงดาวคือท้องฟ้าเวลากลางคืนที่ฟุ้งฝัน มืดสลัวไม่ชัดแจ้ง การพยายามลากดวงดาวมาไว้ตอนกลางวันคือการทำลายความหมายและการดำรงอยู่ของดาวดวงนั้น
ดูตัวอย่างในตำนานกรีกก็ได้ ครั้งที่นางเซมิลี (มารดาของจอมเทพไดโอนีซุส) ขอให้มหาเทพซุสเผยร่างจริงออกมา และแสดงทิพยภาวะอย่างเต็มพิกัด แล้วก็เป็นอย่างที่ทุกคนรู้ นางตาย เพราะถูกรัศมีเรืองรองของมหาเทพเผาผลาญไปสิ้น
มนุษย์ไม่สามารถมองพักตร์แห่งเทวะตรง ๆ ได้ เพราะเขาจะตาย
เช่นกัน ลองนึกภาพว่าถ้าเราไปขอให้ทวยเทพแสดงทุกอย่างออกมาให้เรารู้ ความจริงทุกอย่าง ข้อมูลทุกอย่าง บอกมาให้หมด (อย่างกับจะไปปล้น อย่างนั้นเลย) สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะตาย สลายเป็นผุยผง
ผมว่าที่ผมจะพูดวันนี้ก็คือ Please learn to be comfortable with the unknown. โปรดเรียนรู้ที่จะสบายใจกับความไม่รู้ ผมเข้าใจว่าเราอยากรู้อยากเข้าใจทุกอย่าง อยากให้ทุกอย่างมีคำอธิบาย อยากให้เทพเจ้าเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่มีร่างกาย มีลูกมีครอบครัว มีงานประจำทำ (?) เพราะมันเข้าใจง่ายเหลือเกิน แต่นั่นเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ หรือ? มีประโยชน์จริง ๆ หรือ? เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราไม่ได้กำลังยัดเยียดให้เทพเจ้าเป็นในสิ่งที่พวกท่านไม่ได้เป็นอยู่?
เวทมนตร์คือความคลุมเครือ คือ Mysteries คือความลี้ลับ และเพราะมันเป็นอย่างนี้เอง เวทมนตร์จึงยังคงทรงอำนาจอยู่มาทุกวันนี้ การทำให้เวทมนตร์ชัดแจ้ง เข้าใจได้ มีเหตุผลรองรับทุกอย่าง เป็นการพรากเอาอำนาจไปเสียจากเวทมนตร์ แล้วเวทมนตร์จะยังเป็นเวทมนตร์ได้อยู่หรือไม่?
เหมือนเวลาเรานอนดูดาวบนยอดดอย ณ วินาทีนั้นเราไม่ได้ให้ความสำคัญว่าดาวดวงนั้นเป็นดาวฤกษ์ชนิดไหน ความสว่างระดับไหน หรืออยู่ห่างออกไปกี่ล้านปีแสง แต่เรากำลังอัศจรรย์ใจกับภาพตรงหน้า ดวงดาวดารดาษนับพันนับหมื่นดวง พาดผ่านท้องฟ้ารัตติกาล เหมือนใครเอาเพชรไปโปรยไว้ เหมือนภาพฝัน … ราวกับมีเวทมนตร์เลย
เหมือนเราถูกดวงดาวเหล่านั้นโอบอุ้มเอาไว้ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการพิสูจน์ทฤษฎี ไม่มีการตั้งสมมติฐานใด ๆ
และแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว